TITLEIST ขอแนะนำไม้ไฮบริด GT1, GT2 และ GT3 รุ่นใหม่

สร้างขึ้นจากเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุดของยุคปัจจุบัน ที่มีในไดรเวอร์ และหัวไม้แฟร์เวย์ GT โดย Titleist ได้เพิ่มเติมตระกูลหัวไม้ ด้วยการขอแนะนำไม้ไฮบริด GT1, GT2 และ GT3 รุ่นใหม่ล่าสุด สามตัวเลือกที่ให้ความเสถียร และการชดเชยผิดพลาดสูง ควบคู่ไประบบปรับตำแหน่งน้ำหนัก flat-weight แบบใหม่ เพื่อช่วยให้ฟิตเตอร์ และนักกอล์ฟ สามารถจัดวางจุดศูนย์ถ่วง ให้ได้วิถีลูก และมุมเหินอย่างที่ต้องการ โดยทั้งสามโมเดลต่างมีการออกแบบที่เฉพาะตัว ตามรูปแบบผู้เล่นที่แตกต่างกัน แต่ทั้งหมดให้การชดเชยความผิดพลาดที่สูงขึ้น เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า พร้อมรูปทรงที่ปรับแต่งใหม่ เพื่อความสามารถในการเล่นที่ดียิ่งขึ้น
ไม้ไฮบริด GT1 รุ่นใหม่เป็นโมเดลที่ให้วิถีลูกสูงที่สุด ในบรรดาตัวเลือกทั้งหมด โดดเด่นด้วยน้ำหนักที่เบา มี MOI สูง และระบบปรับตำแหน่งน้ำหนักด้านหน้า-ด้านหลังแบบใหม่ เพื่อควบคุมมุมเหินของลูก ขณะที่ไม้ไฮบริด GT2 มีจุดเด่นที่การปรับแต่งรูปทรงแบบใหม่ เพื่อเพิ่มความสามารถในการเล่น และเป็นโมเดลที่มี MOI สูงที่สุด เพื่อช่วยให้สามารถชดเชยความผิดพลาดได้สูง และการเป็นตัวเลือกทดแทนเหล็กยาวที่ให้ความสม่ำเสมอ ส่วน GT3 มีความกะทัดรัดมากขึ้น รูปทรงใกล้เคียงกับเหล็ก เพื่อความสามารถในการใช้งาน และเพิ่มการชดเชยความผิดพลาด โดยทั้งไม้ไฮบริด GT2 และ GT3 มาพร้อมระบบปรับตำแหน่งน้ำหนักที่บริเวณโคน และปลายแบบใหม่ล่าสุด เพื่อการปรับแต่งความเร็วมุมเหิน และช็อตการเล่นได้อย่างที่ต้องการ


 
ไม้ไฮบริด GT1, GT2 และ GT3 มีกำหนดวางตลาดพร้อมกันทั่วโลก ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์นี้


 
ดีไซน์ที่มี MOI สูง
“เมื่อเราตั้งเป้าหมายที่จะพัฒนาไม้ไฮบริด หนึ่งในสิ่งที่เรามองเป็นอย่างแรกในเรื่องของการดีไซน์คือ ความเสถียร” กล่าวโดย Tom Bennett, Principal Product Manager, Titleist Metalwood R&D “การชดเชยความผิดพลาดของไม้ไฮบริดเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก เพราะสำหรับผู้เล่นจำนวนมาก พวกมันคือไม้สำหรับทำสกอร์ และการลดการสูญเสียระยะนั้น ไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะช็อตจากแท่นทีแต่เพียงอย่างเดียว แต่บางทีอาจสำคัญยิ่งกว่าสำหรับช็อตขึ้นกรีน”
ความเสถียรที่สูงขึ้น ถูกปลดล็อกจากดีไซน์ที่ให้ MOI สูงขึ้นในทุกรุ่น โดยไม้ไฮบริด GT1 ที่มาพร้อมระบบปรับตำแหน่งน้ำหนักสองตำแหน่ง ที่บริเวณด้านหน้า-ด้านท้าย ทำให้มี MOI ที่สูงขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับไม้ไฮบริด TSR1 เมื่อหมุดน้ำหนักขนาด 11 กรัม ที่มีขนาดหนักกว่า อยู่ในตำแหน่งด้านท้าย ขณะเดียวกันหมุดน้ำหนักขนาด 11 กรัมนี้ สามารถย้ายไปอยู่ในตำแหน่งด้านหน้า เพื่อทำให้มุมเหินและสปินต่ำลง แต่ยังคงมี MOI ที่สูงมาก ใกล้เคียงกันกับ TSR1 ขณะที่ไม้ไฮบริด GT2 ซึ่งโดดเด่นด้วยการเป็นโมเดลที่มี MOI สูงที่สุดในบรรดาตัวเลือกทั้งหมด มี MOI สูงขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับรุ่น TSR2 ส่วนไม้ไฮบริด GT3 เพิ่มมากขึ้น 15 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับ TSR3 แม้มีขนาดหัวที่เล็กกว่า 6 เปอร์เซ็นต์ ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ไม้ไฮบริด GT เป็นไม้ไฮบริดที่มีความเสถียรมากที่สุด และชดเชยความผิดพลาดสูงสุด เท่าที่ Titleist เคยสร้างมา


 
ระบบปรับแต่งจุดศูนย์ถ่วงแบบใหม่
“คำถามต่อมาที่เราถามกับตัวเองในขั้นตอนการออกแบบคือ ‘เราจะปรับแต่งประสิทธิภาพให้กับผู้เล่นได้ดีที่สุดอย่างไร” กล่าวโดย Bennett “เราอยากให้นักกอล์ฟปลดล็อกประสิทธิภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จากตัวเลือกทั้งหมดที่เรามี ผ่านกระบวนการฟิตติ้ง และด้วยระบบปรับตำแหน่งน้ำหนักด้านหน้า-ด้านท้ายใน GT1 และที่ตำแหน่งด้านโคน-ปลายใน GT2 กับ GT3 เราจึงมีตัวเลือกในการปรับแต่งเป็นจำนวนมากสำหรับแต่ละโมเดล เพื่อช่วยให้สามารถจัดการกับมุมเหิน และวิถีลูกได้อย่างที่ต้องการ”
ตำแหน่ง CG มาตรฐานสำหรับทั้งสามโมเดล ถูกจัดวางไว้ระหว่างหมุดน้ำหนัก 11 กรัม และหมุดน้ำหนัก 5 กรัม ใน GT1 ตำแหน่งมาตรฐานของหมุดน้ำหนัก 11 กรัม ถูกวางไว้ที่ตำแหน่งด้านท้าย และหมุดน้ำหนัก 5 กรัมถูกวางไว้ที่ตำแหน่งด้านหน้า หากตำแหน่งหมุดน้ำหนักสลับกัน นักกอล์ฟจะปลดล็อกการปรับแต่ง GT1 ในอีกรูปแบบที่มีมุมเหินต่ำ และสปินต่ำลง
สำหรับ GT2 และ GT3 มาพร้อมกับระบบปรับตำแหน่งน้ำหนักที่ด้านโคน-ปลาย โดยตำแหน่งมาตรฐานของหมุดน้ำหนัก 11 กรัม จะอยู่ที่ด้านโคน และหมุดน้ำหนัก 5 กรัมอยู่ที่ด้านปลาย เมื่อสลับกันให้หมุดน้ำหนักมาอยู่ที่ด้านปลาย และหมุดน้ำหนักที่เบากว่า อยู่ที่ด้านโคน จะช่วยให้สามารถสร้างวิถีลูกเฟดได้มากขึ้น จากการวางจุดศูนย์ถ่วงและตำแหน่งปะทะลูกให้เยื้องไปอยู่ทางด้านปลายของหน้าไม้ ซึ่งเป็นจุดที่นักกอล์ฟส่วนใหญ่จำนวนมากปะทะลูก โดยการวางตำแหน่งจุดศูนย์ถ่วงตามตำแหน่งปะทะลูกของผู้เล่นในกระบวนการฟิตติ้ง สามารถช่วยปรับแต่งประสิทธิภาพ ให้ได้บอลสปีดที่สูงขึ้น เช่นเดียวกับมุมเหินที่สูงขึ้น สปินต่ำ และวิถีลูกที่ตรงมากขึ้น
เพิ่มเติมจากหมุดน้ำหนัก 11 กรัม และ 5 กรัมที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐานแล้ว ฟิตเตอร์จะยังมีตัวเลือกหมุดน้ำหนักระหว่าง 379 และ 13 กรัม เพื่อที่จะสามารถควบคุมการปรับตำแหน่งจุดศูนย์ถ่วงได้ดีมากยิ่งขึ้น โดยมีตัวเลือกในการผสมผสานกันมากถึงหกรูปแบบ สำหรับน้ำหนักหัวมาตรฐาน ตั้งแต่ 13 กรัม และ 3 กรัม เพื่อให้การปรับตำแหน่งจุดศูนย์ถ่วงมีความแตกต่างกันมากที่สุด หรือระหว่าง 9 กรัม และ 7 กรัม สำหรับการปรับเพื่อให้มีความแตกต่างกันน้อยที่สุด
ขณะที่น้ำหนักหัวโดยรวมสามารถปรับแต่งได้ระหว่าง -6 กรัม จนถึง +6 กรัม โดยเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ทีละ 2 กรัม


 
รูปทรงที่ถูกปรับแต่งใหม่
ทั้งสามโมเดลของไม้ไฮบริด GT มาพร้อมการปรับแต่งรูปทรงแบบใหม่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงขึ้น โดย GT1 มีหน้าไม้จากช่วงโคนไปปลายที่ยาวขึ้น เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า เพื่อช่วยในการรักษาความเร็ว เมื่อตีลูกไม่โดนกลางหน้าไม้ และช่วยในการชดเชยความผิดพลาด ขณะที่ GT2 มีการปรับแต่งจากฟีดแบ็คของผู้เล่นระดับทัวร์ โดยมีรูปลักษณ์ที่ทันสมัยขึ้น เมื่อเทียบกับ TSR2 สันด้านล่างมีความราบมากขึ้น ให้สามารถวางกับพื้นได้แนบสนิทมากขึ้น ใกล้เคียงกันกับหัวไม้แฟร์เวย์ GT ขณะที่รูปทรงของ GT3 มีขนาดที่เล็กลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับ TSR3 และเช่นเดียวกับ GT2 ที่สันด้านล่างมีความราบมากขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มความสามารถในการเล่นกับพื้นหญ้า และเพิ่มประสิทธิภาพเมื่อตีลูกโดนในตำแหน่งด้านล่างของหน้าไม้



วันวางตลาด
ไม้ไฮบริด GT มีกำหนดวางตลาดพร้อมกันทั่วโลก ในวันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์นี้
 
ราคาขายทั่วไป: 12,390 บาท


 
No comments yet
ความคิดเห็น

คุณอาจชอบ

^