TITLEIST ขอแนะนำไดรเวอร์ GT รุ่นใหม่ล่าสุด GT2, GT3 และ GT4 รุ่นใหม่ที่เป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญ ในการออกแบบไดรเวอร์ของ Titleist

TITLEIST ขอแนะนำไดรเวอร์ GT รุ่นใหม่ล่าสุด

GT2, GT3 และ GT4 รุ่นใหม่ที่เป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญ ในการออกแบบไดรเวอร์ของ Titleist


เซาธ์อีสต์เอเชีย (1 สิงหาคม, 2024) – Titleist, ไดรเวอร์ที่ถูกเลือกใช้มากที่สุดใน PGA TOUR มาเป็นเวลา 5 ปีติดต่อกัน
รวมถึงสถิตินี้ยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง ขอแนะนำไดรเวอร์ GT รุ่นใหม่ล่าสุด โดยเป็นไดรเวอร์ที่มีความทันสมัยที่สุด
และให้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด เท่าที่ Titleist เคยสร้างมา ประกอบด้วยสามรุ่นย่อยคือ GT2, GT3 และ GT4
ที่ถูกวิศวกรรมมาให้ประสิทธิภาพโดยรวมสูงสุดในทุกด้าน โดยไม่จำเป็นต้องสูญเสียด้านใดด้านหนึ่งไป พร้อมด้วยรูปลักษณ์, ความรู้สึก
และเสียงที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งยังให้ความเร็วที่สูงขึ้น, ระยะไกลขึ้น, ทิศทางตรงขึ้น และสามารถชดเชยความผิดพลาดได้มากขึ้น
จากทั่วทั้งหน้าไม้ มากกว่าไดรเวอร์ Titleist รุ่นใดๆ ที่ผ่านมา

“ตระกูล GT คือความก้าวหน้าครั้งสำคัญของไดรเวอร์ Titleist ในด้านการออกแบบ และวิศวกรรม” กล่าวโดย Stephanie Luttrell, Director,
Titleist Metalwood Product Development “ความสำเร็จของการพัฒนาที่มีในด้านวัสดุ, โครงสร้าง, รูปทรง และการออกแบบ
ไม่สามารถเป็นไปได้เลยในเจเนเรชั่นก่อน เทคโนโลยีอันสมัยทั้งหมดที่มีใน GT ได้ทำงานร่วมกัน
เพื่อสร้างไดรเวอร์ที่ให้ประสิทธิภาพสูงที่สุด เท่าที่เราเคยสร้างมา”

GT รุ่นใหม่ประกอบด้วยสามรุ่นย่อย ระหว่าง GT2 ที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถสร้างความเร็ว
และการชดเชยความผิดพลาดจากทั่วทั้งหน้าไม้ พร้อมกับ MOI ที่สูง, GT3 ถูกออกแบบมาให้สามารถปรับแต่งความเร็ว และการควบคุม
เพื่อได้ระยะทางที่ไกลที่สุด รวมถึงวิถีลูกอย่างที่ต้องการ และ GT4 เป็นไดรเวอร์สปินต่ำ ขนาด 430ซีซี
ที่ถูกดีไซน์มาเพื่อลดสปินที่มากเกินไป มาพร้อมความเร็วสูง และวิถีลูกที่พุ่งทะลุทะลวง

ในแต่ละรุ่นย่อยของ GT มาพร้อมกับเทคโนโลยีกระดอง Seamless Thermoform Crown แบบใหม่ล่าสุด จากวัสดุ Proprietary Matrix
Polymer ที่เป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะของเรา ที่มีความโดดเด่น และน้ำหนักเบาอย่างที่สุด เพื่อเปิดโอกาสให้วิศวกรของ Titleist
สามารถเลือกจัดวางมวลน้ำหนักให้ไปอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมของแต่ละรุ่น ในโครงสร้างแบบ Split Mass Construction
เพื่อสร้างความเร็ว และความมั่นคงที่ยอดเยี่ยม นอกจากนี้ GT ยังคงรักษาไว้ซึ่งรูปลักษณ์ที่คลาสสิคตามแบบฉบับของ Titleist
ในเวลาจรดลูก ด้วยมุมมองที่สะอาดตาจากจุดเชื่อมต่อระหว่างกระดอง และโครงสร้างไทเทเนียม รวมถึงด้วยคุณสมบัติด้านเสียงของวัสดุ
Proprietary Matrix Polymer ยังทำให้เราสามารถรักษาเสียงและความรู้สึก อย่างที่ผู้เล่นชื่นชอบ, Refined aerodynamics
คุณสมบัติอากาศพลศาสตร์ที่ได้ถูกปรับปรุงใหม่ เพื่อช่วยให้สร้างคลับเฮดสปีดได้มีความเร็วสูงขึ้น รวมถึงดีไซน์หน้าไม้ Speed Ring และ
VFT แบบใหม่ ที่ช่วยให้บอลสปีดสูงขึ้น ทั้งจากช็อตที่ตีลูกโดนกลางและไม่โดนกลางไม้ โดยผลลัพธ์จากเทคโนโลยีที่ทันสมัยเหล่านี้
ทำให้ไดรเวอร์สามารถสร้างความเร็วที่ยอดเยี่ยม รวมถึงการให้สปิน และมุมเหินของลูกที่มีความสม่ำเสมอ จากทั่วทั้งบริเวณหน้าไม้

“เมื่อเราเปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ มันต้องมีประสิทธิภาพที่เหนือกว่ารุ่นที่ผ่านมา” กล่าวโดย Josh Talge, Vice President, Titleist Golf Club
Marketing “สำหรับ GT แล้ว สิ่งสำคัญคือจำเป็นจะต้องสร้างความเร็วได้เหนือกว่า TSR ต้องตีได้ไกลกว่า ทิศทางตรงกว่า รวมถึงต้องมีเสียง,
รูปลักษณ์ และให้ความรู้สึกที่ดีกว่า และ GT สามารถทำได้เหนือกว่าทุกข้อ โดยไม่มีการผ่อนปรนใดๆ ทั้งสิ้น”
ไดรเวอร์ GT พร้อมสำหรับการฟิตติ้งได้แล้ววันนี้ และมีกำหนดวางตลาดพร้อมกันทั่วโลก ตั้งแต่วันที่ 23 สิงหาคมนี้


ภาพรวมเทคโนโลยีใน GT

“เมื่อเราตั้งเป้าหมายว่าจะสร้างไดรเวอร์ที่เหนือกว่าใน GT รุ่นใหม่ มันสำคัญมากที่เราจะต้องมองย้อนกลับไป
แล้วพิจารณาคุณลักษณะของประสิทธิภาพในทุกด้าน” กล่าวโดย Luttrell
“ปรัชญาในการออกแบบของเราคือจะต้องเป็นประสิทธิภาพที่สมดุลกันในทุกด้าน เราไม่เคยคิดที่จะตัดด้านใดด้านหนึ่งออกไป
เราต้องการพัฒนาในทุกจุดเพื่อที่จะได้ประสิทธิภาพการไดร์ฟที่สูงสุดในทุกด้าน”


Seamless Thermoform Crown

ในแต่ละรุ่นย่อยของ GT มาพร้อมกับเทคโนโลยีกระดองที่มีน้ำหนักเบาอย่างที่สุด โดยสร้างจากวัสดุ Proprietary Matrix Polymer แบบใหม่
โดยเป็นวัสดุที่ไม่เคยถูกใช้ในการผลิตไม้กอล์ฟมาก่อน ส่งผลให้วิศวกรของ Titleist สามารถสร้างสรรค์แนวทางการออกแบบใหม่ๆ
เกี่ยวกับการจัดวางน้ำหนักภายใน และยังช่วยปลดล็อกการเพิ่มประสิทธิภาพในหลายด้านของไดรเวอร์
โดยส่วนกระดองที่ครอบไปถึงท้องไม้ ด้วยกระบวนการเทอร์โมฟอร์มที่ทันสมัย ผลลัพธ์ที่ได้คือ รูปลักษณ์ที่สะอาดตา
และไม่มีรอยเชื่อมต่อใดๆ ระหว่างแต่ละวัสดุ

“หนึ่งในเป้าหมายแรกของเรากับ GT คือการสร้างความเร็วให้ได้เหนือ TSR” กล่าวโดย Chuck Golden, SVP, Titleist Club Research &

Development “และมีวิธีเดียวจะทำได้ตามเป้าหมายการออกแบบของเรา นั่นคือ การแยกชิ้นส่วนโครงสร้างวัสดุไทเทเนียมออกมาทั้งหมด”
“ความหนาแน่นของกระดองแบบใหม่นี้ มีค่าเฉลี่ยที่เบากว่าโครงสร้างที่เป็นไทเทเนียมทั้งหมดที่เราเคยใช้ถึงสามเท่า” กล่าวโดย Luttrell
“ด้วยการครอบกระดองลงไปจนถึงท้องไม้ ช่วยให้เราสามารถออกแบบการจัดวางมวลน้ำหนักของทั้งหัวไม้ขึ้นมาใหม่
และกลายเป็นข้อได้เปรียบสำคัญสำหรับการออกแบบจุดศูนย์ถ่วง และเป้าหมายด้านความเสถียรของเรา”

ด้วยการใช้โครงสร้างที่หลากหลายวัสดุ หนึ่งในเป้าหมายหลักสำหรับทีมวิจัยและพัฒนาของ Titleist
คือการรักษาไว้ซึ่งเสียงที่คลาสสิคของหัวไม้โลหะ Titleist ด้วยคุณสมบัติพิเศษด้านเสียงของวัสดุ Proprietary Matrix Polymer
เปิดโอกาสให้วิศวกรของเราสามารถปรับแต่งให้มีเสียง และความรู้สึกที่ทรงพลัง ควบคู่ไปกับการช่วยลดน้ำหนักได้สูงสุด
จากโครงสร้างวัสดุใหม่นี้


Split Mass Construction

น้ำหนักที่ลดลงจากโครงสร้างกระดอง Seamless Thermoform Crown ใน GT ช่วยให้วิศวกรของ Titleist
สามารถปรับการจัดวางตำแหน่งน้ำหนักภายในหัวไม้ ให้ไปอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมมากขึ้น
โดยมวลน้ำหนักได้ถูกวางให้ทั้งไปอยู่ที่บริเวณด้านหน้าของไม้ เพื่อช่วยให้สามารถสร้างความเร็วได้สูงขึ้น จากตำแหน่งจุดศูนย์ถ่วงใหม่นี้
ขณะเดียวกันมวลน้ำหนักอีกส่วนหนึ่งได้ถูกวางไว้ที่ด้านหลัง เพื่อให้มีประสิทธิภาพ MOI ที่สูงขึ้น และหัวไม้มีความเสถียรมากขึ้น
โดยจุดศูนย์ถ่วงของทั้งสามโมเดลจะอยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างกัน
เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เล่นสามารถค้นหาจุดลงตัวที่เหมาะสมระหว่างความเร็ว, มุมเหิน และสปิน
สำหรับเกมของพวกเขาด้วยสามแคเรกเตอร์ของไดรเวอร์ที่แตกต่างกัน
“ความสามารถในการจัดวางมวลน้ำหนักแบบใหม่ ที่เราได้มาจากกระดอง Thermoform Crown
ช่วยให้เราสามารถจัดวางจุดศูนย์ได้อย่างที่เราต้องการจริงๆ” กล่าวโดย Luttrell “ถามว่าเราจัดการกับน้ำหนักที่ลดมาได้อย่างไร?
เราแบ่งมันโดยวางแยกไปอยู่ด้านหน้าในตำแหน่งที่ต่ำ แล้วนำมวลน้ำหนักส่วนที่เหลือให้ไปอยู่ด้านหลังของหัวไม้
นั่นส่งผลให้เราสามารถสร้างความเร็ว และความมั่นคงได้อย่างยอดเยี่ยม จากการจัดวางวางมวลน้ำหนักที่มีความสมดุลนี้”


Improved Aerodynamics

การพัฒนาที่มีในโครงสร้าง รวมถึงการจัดวางน้ำหนักแบบใหม่ ยังช่วยให้การพัฒนาด้านอากาศพลศาสตร์ในทั้งสามรุ่น
มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น โดยเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญที่ก่อนหน้านี้เป็นไม่ได้เลย เนื่องจากข้อจำกัดด้านการออกแบบ โดยไดรเวอร์ GT
มาพร้อมกับรูปทรงที่ถูกปรับแต่งใหม่ เพื่อช่วยลดแรงต้านอากาศ และเพิ่มคลับเฮดสปีดให้สูงยิ่งขึ้น
“ในการวิจัย และวิศวกรรมด้านอากาศพลศาสตร์ของเรา เราได้ศึกษาเกี่ยวกับรูปทรงของหัวไม้
โดยเฉพาะความโค้งมนของที่บริเวณกระดองและท้องไม้ เพื่อจัดการเชื่อมต่อกับการไหลของอากาศ, ลดแรงปั่นป่วน และแรงต้านอากาศ”
กล่าวโดย Luttrell “ผลลัพธ์ที่ได้คือ ความเร็วของคลับเฮดสปีดที่สูงขึ้นอย่างมาก”


Enhanced Speed Ring with VFT

ความเร็วที่สูงอย่างมากของหน้าไม้ GT เกิดขึ้นโดยมีสองเทคโนโลยีอยู่เบื้องหลัง ด้วยการอัพเกรดใหม่ของโครงสร้างไทเทเนียม Speed
Ring ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรง และความมั่นคงจากโดยรอบของหน้าไม้ ที่ทำให้สร้างบอลสปีดได้สูงสุดจากการตีโดนกลางหน้าไม้
ทำงานควบคู่ไปกับดีไซน์ Variable Face Thickness (VFT) ที่เป็นการออกแบบความหนาบางแบบไล่ระดับ
เพื่อรักษาบอลสปีดให้สม่ำเสมอจากการตีไม่โดนกลางหน้าไม้ และลดการสูญเสียระยะทางให้น้อยที่สุด
“Speed Ring ช่วยให้ COR (coefficient of restitution) เพิ่มขึ้นสูงสุดจากการตีโดนกลางหน้าไม้
และทำให้บอลสปีดเพิ่มขึ้นสูงสุดตามไปด้วย” กล่าวโดย Luttrell “แต่ Speed Ring มีข้อจำกัดที่รอบนอกของหน้าไม้
ซึ่งอาจส่งผลให้มีประสิทธิภาพที่ต่ำลงเมื่อตีไม่โดนกลางหน้าไม้ และนั่นคือจุดที่ VFT เข้ามามีบทบาท
ทำให้เราสามารถลดความบางของหน้าไม้ได้อย่างเหมาะสม เพื่อขยายขนาดสวีทสปอต และเพิ่มความเร็วจากการตีลูกพลาดกลางหน้าไม้”


Tour-Inspired Face Graphics

ไดรเวอร์ GT ยังมาพร้อมกับการออกแบบกราฟิกบนหน้าไม้แบบใหม่ เพื่อช่วยให้สามารถเล็งลูกกอล์ฟได้ตรงมากขึ้น
โดยถูกออกแบบมาจากฟีดแบ็ค และรุ่นต้นแบบที่ใช้ในทัวร์
เพื่อช่วยให้นักกอล์ฟสามารถเล็งลูกกอล์ฟที่กลางหน้าไม้ได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น

รุ่นย่อยของไดรเวอร์ TITLEIST GT

GT2: ความเร็ว และการชดเชยความผิดพลาดจากทั่วทั้งหน้าไม้

ไดรเวอร์ GT2 ถูกออกแบบมาเพื่อนักกอล์ฟที่จะได้ประโยชน์จากไดรเวอร์ที่สร้างความเร็วได้สูง
และสามารถชดเชยความผิดพลาดได้ทั้งจากการตีโดนกลาง และไม่โดนกลางหน้าไม้

ผู้เล่นที่ไม่สามารถปะทะลูกบนหน้าไม้ได้อย่างสม่ำเสมอจะสังเกตได้ถึงบอลสปีดที่ยอดเยี่ยมจากทั่วทั้งหน้าไม้ จากการอัพเกรดเทคโนโลยี
Speed Ring และ Variable Face Technology ใน GT2 ควบคู่ไปประสิทธิภาพความมั่นคงสูงสุด จากดีไซน์ที่มี MOI สูง
รูปทรงของ GT2 ถูกปรับแต่งใหม่เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจ และเพิ่มประสิทธิภาพด้านอากาศพลศาสตร์
หัวไม้มีขนาดจากด้านหน้าไปยังด้านหลังที่ยาวขึ้น และหน้าไม้มีความแชลโลว์มากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่น ‘2’ ของเจเนเรชั่นที่ผ่านมา
โดย GT2 มีรูปทรงเป็นแบบลูกแพร์ดั้งเดิมมากขึ้น และมีความใกล้เคียงกับ GT3 มากขึ้น
ขณะที่หมุดน้ำหนักด้านหลังที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ ทำให้สามารถควบคุมน้ำหนักโดยรวมของหัวไม้ รวมถึงสวิงเวท
เพื่อให้สามารถปรับแต่งด้านประสิทธิภาพ และความรู้สึก ที่เหมาะสมกับนักกอล์ฟแต่ละคนมากที่สุด
เหมือนกับ GT ทุกรุ่น GT2 จะได้ประโยชน์จากเทคโนโลยีโครงสร้าง Seamless Thermoform Crown และ Split Mass Construction
ที่ทำงานร่วมกัน เพื่อการเป็นไดรเวอร์ที่ให้ประสิทธิภาพสูงสุดในทุกด้าน


รายละเอียด และสเป็คของ GT2:

  • มุมเหินสูง, สปินต่ำ
  • ขนาดหัว: 460ซีซี
  • องศาหน้าไม้: 8.0, 9.0, 10.0, 11.0 (มือขวา/มือซ้าย)
  • ความยาวก้านมาตรฐาน: 45.5”
  • มุมไลมาตรฐาน: 58.5”
  • กริพสต็อก: Titleist Universal 360 Grip
  • ตัวเลือกหมุดน้ำหนัก: 9 กรัม (มาตรฐาน) และ +6, +4, +2, -2, -4, -6
  • คอไม้ SureFit: ใช้ได้กับ TSR, TSi, TS


GT3: ความเร็วที่ปรับแต่งได้เพื่อระยะทาง และการควบคุม

GT3 ให้บอลสปีดที่เร็วสูงสุด ควบคู่กับความสามารถในการปรับแต่งอย่างที่นักกอล์ฟต้องการ เพื่อการปรับแต่งทั้งด้านระยะทาง
และการควบคุมวิถีลูก ด้วยระบบปรับแต่ง CG Track แบบใหม่ ที่ตอนนี้ถูกวางไปอยู่ใกล้กับหน้าไม้มากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับ TSR3
โดยฟิตเตอร์และนักกอล์ฟสามารถเลือกตำแหน่งจุดศูนย์ถ่วงได้ถึง 5 ตำแหน่ง (H2, H1, N, T1, T2)
ให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่นักกอล์ฟมีแนวโน้มในการปะทะลูก โดยตำแหน่งจุดศูนย์ถ่วงที่เหมาะสมจะช่วยทำให้วิถีลูกมีความเร็วสูงขึ้น
และสม่ำเสมอมากขึ้น โดยประสิทธิภาพนี้จะยิ่งสูงขึ้นใน GT3 จากตำแหน่งแทร็กแบบใหม่ที่อยู่ด้านหน้ามากขึ้น
เช่นเดียวกับ GT2 ใน GT3 มีขนาดหัวไม้ 460ซีซี แต่ด้วยรูปทรงแบบลูกแพร์ที่มีความกะทัดรัดมากกว่า ในขณะที่หน้าไม้มีขนาดสูงกว่า
โดยเมื่อเปรียบเทียบกับ TSR3 ใน GT3 จะมีรูปทรงที่มีคุณสมบัติด้านอากาศพลศาสตร์สูงกว่า เพื่อช่วยสร้างคลับเฮดสปีดที่สูงยิ่งขึ้น
สิ่งสำคัญที่สุดของเทคโนโลยีที่มีใน GT3 คือ กระดอง Seamless Thermoform Crown แบบใหม่ และโครงสร้าง Split Mass Construction
ที่ช่วยให้สามารถสร้างบอลสปีดได้สูง และมีความมั่นคงมากขึ้น


รายละเอียด และสเป็คของ GT3:

  • มุมเหินสูง, สปินต่ำ

  • ขนาดหัว: 460cc
  • องศาหน้าไม้: 8.0, 9.0, 10.0, 11.0 (มือขวา/มือซ้าย)
  • ความยาวก้านมาตรฐาน: 45.5”
  • มุมไลมาตรฐาน: 58.5”
  • กริพสต็อก: Titleist Universal 360 Grip
  • ตัวเลือกน้ำหนัก: 8 กรัม (มาตรฐาน) และ +6, +4, +2, -2, -4
  • คอไม้ SureFit Hosel: ใช้ได้กับ TSR, TSi, TS


GT4: ประสิทธิภาพสปินต่ำที่ยอดเยี่ยม

GT4 ถูกออกแบบมาสำหรับนักกอล์ฟที่ต้องการลดสปินให้มาอยู่ในระดับที่เหมาะสม หรือเมื่อโดยปกติแล้วเกินกว่า 3,000 RPMs

เพื่อสร้างวิถีลูกที่พุ่งทะลุทะลวงอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยระบบปรับแต่ง dual-spin
ที่เปิดโอกาสให้นักกอล์ฟสามารถเลือกระหว่างพลังในการลดสปินที่มากขึ้น หรือสมดุลมากกว่าระหว่างความมั่นคง
กับการลดสปินได้ปานกลาง ด้วยการปรับแต่งเปลี่ยนตำแหน่งตัวถ่วงน้ำหนัก ระหว่างตัวถ่วงน้ำหนักที่หนักกว่า (11 กรัม)
กับตัวถ่วงน้ำหนักที่เบากว่า (3 กรัม) นอกจากนี้ GT4 จะมีขนาดหัวที่เล็กกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ GT2 และ GT3 ที่ขนาด 430ซีซี
ประสิทธิภาพที่ถูกพัฒนาให้สูงขึ้นของ GT4 มีจุดเริ่มมาจากกระดอง Seamless Thermoform Crown และโครงสร้าง Split Mass Construction
ที่ช่วยให้วิศวกรของ Titleist สามารถแบ่งการจัดวางมวลน้ำหนักให้แยกออกจากกัน โดยมีน้ำหนักที่ด้านหลังเพื่อให้ความมั่นคงสูง
ในขณะที่ขยับวางจุดศูนย์ถ่วงไว้ด้านหน้ามากขึ้น เพื่อประสิทธิภาพาการลดสปินที่สูงมากยิ่งขึ้น


รายละเอียด และสเป็ค GT4:

  • มุมเหินปานกลาง, สปินต่ำที่สุด
  • ขนาด: 430cc
  • องศาหน้าไม้: 8.0, 9.0, 10.0 (มือขวา/มือซ้าย)
  • ความยาวก้านมาตรฐาน: 45.5”
  • มุมไลมาตรฐาน: 58.5”
  • กริพสต็อก: Titleist Universal 360 Grip
  • ตัวเลือกน้ำหนัก: 11 กรัม (ด้านหน้า) / 3 กรัม (ด้านหลัง)
  • คอไม้ SureFit: ใช้ได้กับ TSR, TSi, TS


ไดรเวอร์ GT ในทัวร์

เจเนเรชั่นล่าสุดของไดรเวอร์ที่ถูกเลือกใช้มากที่สุดใน PGA TOUR เปิดตัวเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนมิถุนายน ในรายการ Memorial Tournament
โดยมีผู้เล่นถึง 13 คนที่เปลี่ยนมาใช้ไดรเวอร์ GT ในการแข่งขันที่จำกัดจำนวนผู้เล่นนี้ทันที จากนั้นสัปดาห์ต่อมาที่ U.S. Open มีผู้เล่น 19

คนที่นำไดรเวอร์ GT ไปใช้ในการแข่งขัน รวมถึงผู้เล่นระดับชั้นนำของโลก - ไม่ว่าจะเป็น แชมป์ FedExCup ปี 2021 (GT2) และแชมป์
Masters ปี 2013 (GT2) - ที่เปลี่ยนมาใช้ทันทีแม้เป็นสัปดาห์ของการแข่งขันเมเจอร์
  
หลังจากที่เปลี่ยนมาใช้ไดรเวอร์ GT2 รุ่นใหม่ ในรายการ Travelers Championship, Brian Harman เล่นจบด้วยการเป็นอันดับ 2 ในสถิติ
Strokes Gained: Off the Tee โดยได้สโตรกกว่า 5 ช็อตเหนือค่าเฉลี่ย (+5.086)
นอกจากนี้ยังเป็นรายการที่เขามีสองรอบการแข่งขันที่มีสถิติไดร์ฟดีที่สุด และมีความเร็วหัวไม้สูงสุดที่สุดของตัวเขาเองประจำฤดูกาลนี้
  
รวมถึงมีผู้เล่นอีก 31 คน ที่นำไดรเวอร์ GT ไปใช้ในการแข่งขัน ในสัปดาห์ถัดมาที่รายการ Rocket Mortgage Classic
นับตั้งแต่รายการ Genesis Scottish Open เมื่อเดือนกรกฎาคม มีผู้เล่นใน PGA TOUR มากกว่า 100 คนแล้วที่ใช้ไดรเวอร์ GT ในการแข่งขัน
ไม่ว่าจะเป็น Max Homa (GT3), Tom Kim (GT3), Cameron Young (GT2), Justin Thomas (GT2), Byeong-Hun An (GT4), J.T.
Poston (GT3), Will Zalatoris (GT2) และเจ้าของแชมป์รายการ 2024 WM Phoenix Open (GT3) ตลอดจน Billy Horschel และแชมป์
U.S. Open ปี 2013 ที่จบในอันดับ 2 ของรายการ Open Championship ที่ต่างใช้ไดรเวอร์ GT3 ในการแข่งขันทั้งคู่
ความมั่นใจที่มีต่อ GT2, GT3 และ GT4 รุ่นใหม่ ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไปยังการแข่งขัน DP World Tour (มีผู้เล่นมากถึง 28
คนที่เปลี่ยนมาใช้ GT รุ่นใหม่ทันทีตั้งแต่สัปดาห์แรก) เช่นเดียวกับ LPGA (12), Korn Ferry Tour (25) ตลอดจนทัวร์กอล์ฟอาชีพทั่วโลก
รายชื่อผู้เล่นใน LPGA TOUR ที่เปลี่ยนมาใช้ GT รุ่นใหม่แล้ว อาทิ Jin Hee Im (GT3), Albane Valenzuela (GT3), Emily K. Pedersen
(GT3), Frida Kinhult (GT3) – รวมถึงนักกอล์ฟมืออันดับ 3 ของโลก (เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม) ที่เปลี่ยนจากรุ่นคู่แข่งมาใช้ GT2  
 
• WILL ZALATORIS: “ผมได้บอลสปีดเพิ่มขึ้นทันทีประมาณ 1.5 ไมล์ นั่นเท่ากับระยะแคร์รี่ที่เพิ่มขึ้นมา 6-7 หลา
และนี่น่าจะเป็นระยะที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดเท่าที่ผมเคยได้มา ครั้งแรกที่ผมได้ลองมัน ความรู้สึกมันยอดเยี่ยมมาก ทั้งหนักแน่น
และลูกออกจากหน้าไม้เร็วมาก รวมถึงผมชอบมากกับเสียงปะทะลูกแบบนี้”
  
• BILLY HORSCHEL: “มันรู้สึกหนักแน่นมากขึ้นสำหรับผม ผมสามารถรู้สึกถึงลูกได้มากขึ้น แม้ในช็อตที่ผมตีผิดพลาด
ทิศทางของลูกก็ยังออกไปดีมาก เราแทบไม่ต้องเสียอะไรเลย มันให้ความเร็วสูงขึ้น ในขณะที่อัตราสปินก็สม่ำเสมอขึ้น”
  
• MAX HOMA: “ผมใช้ GT3 และผมพอใจกับมันมาก เพราะ J.J. [Van Wezenbeeck, Titleist’s Senior Director of Club Promotions]
บอกว่ามันสร้างมาจากทุกสิ่งที่ผมชอบในไดรเวอร์ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผมคือ การที่ไดรเวอร์ให้วิถีลูกสูงขึ้น ในขณะที่สปินต่ำลง
เพราะผมมีปัญหาเสมอเวลาที่ต้องพยายามตีลูกให้ลอยสูง ผมเลยต้องพยายามสวิงและตีลูกให้ต่ำลง แต่กับ GT ผมสามารถตีได้ทั้งวิถีลูกที่ต่ำ
หรือแม้แต่ตอนที่ตีลูกให้ลอยสูง มันก็ยังมีสปินที่น้อยมาก”
  
• CAMERON YOUNG: “มันเหมือนมีรางวัลให้เป็นเสียง เวลาที่คุณตีลูกโดนกลางหน้าไม้ ผมยังรู้สึกว่าลูกกอล์ฟออกจากหน้าไม้เร็วมากๆ
ที่เป็นเหมือนอีกหนึ่งรางวัลในด้านความรู้สึก”
“มันง่ายมากเหมือนมองไปยังภายในโครงสร้างของ GT และได้เห็นวัสดุที่ยอดเยี่ยมทั้งหมดอยู่ภายใน รวมถึงส่วนประกอบอื่นๆ
ที่พวกเขานำมาใช้ ตอนที่ J.J. เอาไดรเวอร์ให้คุณ คุณก็ยังลองตีมันอยู่ มันจริงที่ว่ามันมีหน้าตาเหมือนอย่างที่เราคุ้นเคย
และเป็นรูปทรงที่ผมคิดว่าทุกคนน่าจะชื่นชอบ แต่มันก็รู้สึกดีมากที่ได้รู้ว่าเราจะมีเทคโนโลยีที่คอยช่วยเหลือเราอยู่ภายใน
ขณะเดียวกันมันก็ยังเป็นสิ่งเดิมอย่างที่คุณคุ้นเคย และเป็นสิ่งที่คุณชอบ”


ก้านสต็อก

NEW Project X Denali Red

  • มุมเหิน: ปานกลาง/สูง
  • ความแข็ง: 4.0, 5.0, 5.5
  • น้ำหนัก: 40-60 กรัม
  • Torque: 4.0 – 6.2

NEW Mitsubishi Tensei 1K Blue

  • มุมเหิน: ปานกลาง
  • ความแข็ง: Regular, Stiff
  • น้ำหนัก: 55-75 กรัม
  • Torque: 3.9 – 5.3

NEW Project X HZRDUS Black 5th Gen

  • มุมเหิน: ต่ำ/ปานกลาง
  • ความแข็ง: 6.0
  • น้ำหนัก: 60-80 กรัม
  • Torque: 2.8 – 3.5

Mitsubishi Tensei 1K Black

  • มุมเหิน: ต่ำ
  • ความแข็ง: Stiff
  • น้ำหนัก: 65-75 กรัม
  • Torque: 2.8 – 3.6


กำหนดวันวางตลาด

ไดรเวอร์ GT รุ่นใหม่ มีกำหนดวันวางตลาดพร้อมกันทั่วโลก ในวันศุกร์ที่ 23 สิงหาคมนี้
ราคาขายทั่วไป: 23,900 บาท


CONTACT

วัชระ กาฬภักดี | Product & Marketing Manager | watchara_kanpukdi@acushnetgolf.com
No comments yet
ความคิดเห็น

คุณอาจชอบ

^